วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Attitude is everything


Attitude controls our thought.
Attitude leads our behavior.
Attitude guides our action.
Life is moved by the power of our attitude. 
Watch our attitude and think creatively. 
We can add some wonderful things in our world.

"Thoughts become things
ฺำ

ทัศนคติควบคุมความคิด
ทัศนคติชี้นำความประพฤติ
ทัศนคติก่อให้เกิดการกระทำ
ชีวิตของเราขับเคลื่อนด้วยพลังแห่งทัศนคติ
มีสติ รู้ทันทัศนติของตัวเราเอง
หากเราดักความคิดของเรา ให้คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์
อะไรที่ดีดี ก็คงเพิ่มมากขึ้นในสังคมในสังคมโลกเรา 

Let's make a move!




วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Power of silence

เมื่อเราหยุดพูด เราก็ฟังมากขึ้น
เมื่อเราฟังมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องพูด เราก็ใคร่ครวญมากขึ้นถึงสิ่งที่เราได้ยิน
เราทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะฟัง
พลังแห่งความเงียบมันช่วยทำให้เราได้ใช้หูของเรามากขึ้น
หากคนส่วนใหญ่พูดแต่ถ้าไม่มีใครฟัง 
เราพลาดความหมายของการสื่อสารไปอย่างสิ้่นเชิง
ให้เวลาตัวเองได้มีในช่วงเวลาแห่งความเงียบ ใครจะรู้ว่าบางทีเรื่องดีอาจจะผ่านเข้าหูของเราก็ได้
"ใครมีหู จงฟังเถิด"




When we stop talking, then we listen more.
Then think more deeply of what we have heard. 
We all need to learn how to listen. 
Power of silence would help us learn to use our ears in a very effective way.
Many people talk but no one want to listen then we miss the whole point of communication.


Give yourself a moment of silence. Who knows great stories could pass to your ears.

"anyone with ears to hear should listen..."




วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Peace

ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราอยู่กับสงครามมากกว่าสันติภาพ
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสมัยก่อนประวัติศาสตร์ โลกเราเป็นอย่างไร
แต่ข้าพเจ้าเติบโตมาพร้อมกับการได้ยิน ได้อ่าน ได้เห็น
การล่าอาณานิคม ยึดครองดินแดน และกดขี่ชนเผ่าท้องถิ่น...
สงครามเย็น สงครามโลก สงครามระเบิดปรมาณู  สงครามศาสนา
การกดขี่ทางการเมือง การกระหายอำนาจ                                      
เศรษฐกิจตกต่ำ คนรวยยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนยิ่งจนลง
ช่องว่าระหว่างชนชั้นออกห่างกันไปเรื่อยๆ

เรามีความรู้มากขึ้น ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์มากมาย พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำยุค
และเราสร้างสิ่งที่ทำร้ายเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้ชมภาพยนตร์สารคดีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ความรุนแรง และสิทธิมนุษยชน ข้าพเจ้าพยายามหาคำตอบกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า อะไรเกิดขึ้นในจิตสำนึกของคนบางคน ที่สามารถฆ่า ทำร้าย และกดขี่ผู้อื่นได้อย่างไร้ความปรานี

"อยากได้แต่ไม่ได้ เราก็ฆ่ากัน  เราโลภ แต่ไม่ได้เราก็ทะเลาะและทำสงครามกัน..."

เมื่อเป็นเด็ก เราคิดว่าโตขึ้นสังคมมันจะดีขึ้น
แต่เมื่อโตขึ้น เราก็เห็นว่าสังคมมันไม่ดีขึ้น
มาถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะโลกและสังคมมันจะดีขึ้นได้จริงๆ
เราจะเลิกทำสงครามกันได้จริงๆหรือ

มีคนกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "สันติภาพมันไม่วันเกิดขึ้นในโลกนี้ได้หรอก"
คนคนหนึ่งมันเปลี่ยนโลกไม่ได้หรอก แต่คนคนหนึ่งเลือกใช้ชีวิตได้ ไม่สำคัญว่าโลกมันจะเปลี่ยนหรือไม่
สังคมมันแย่เพียงเพราะคนดีหยุดทำดี  
สันติภาพเกิดได้จากจุดเล็ก และมันต้องเริ่มที่ตัวเรา ชุมชนของเรา
สันติภาพเป็นไปได้ และต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา

Let's plant the seed of peace in our society. Peace is possible!  



วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Look around

มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และมันเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของข้าพเจ้า...

วันหนึ่งขณะนั่งรถไฟฟ้าไปทำธุระ เป็นวันที่คนไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไร เมื่อได้ที่นั่งก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ตามประสาคนเมืองทั่วๆไป สร้างโลกส่วนตัวขึ้นทันที รถไฟก็จอดสถานีหนึ่งใกล้ๆกับโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานีใหญ่ที่มีคนขึ้นมาก  ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีคนมายืนที่ตรงหน้า แต่ด้วยความที่ไม่สนใจและไม่ได้ใส่ใจที่จะมอง สายตาของข้าพเจ้ายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือที่กำลังอ่านอยู่ และในชั่วครู่นั้นเอง คนที่นั่งข้างข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นให้ที่นั่งกับใครคนหนึ่ง วินาทีนั้นข้าพเจ้าละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นดูเล็กน้อย และคนที่มานั่งข้างๆข้าพเจ้า คือคนที่เมื่อสักครู่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า  สิ่งที่สายตาของข้าพเจ้ามองเห็นก็คือ ชายคนหนึ่งที่ขาทั้งบาดเจ็บโดยมีไม้ค้ำอยู่ทั้งสองข้าง พร้อมในมือถือถุงยา และกระเป๋า
วินาทีนั่นเองจิตสำนึกผิดชอบมันฟ้องขึ้นมาในจิตใจว่า เราควรจะเป็นคนนั้นที่ให้ที่นั่งกับเขา เขายืนอยู่ตรงหน้าเรา ทำไมเราไม่มองเขาสักนิด ทำไมเราไม่ใส่ใจ อย่างไรก็ดีชายคนนี้ก็ได้รับการหยิบยืนความช่วยเหลือ แต่ที่มันน่าละอายใจก็คือความช่วยเหลือนั้นมันไม่ได้มาจากเรา

ข้าพเจ้ามัวแต่สาละวนกับตัวเอง มองข้ามความจำเป็น และความต้องการของคนอื่น ข้าพเจ้าพลาดโอกาสที่จะไ้ด้หยิบยืนการช่วยเหลือให้กับใครสักคนหนึ่งที่ต้องการ

ไม่แปลกใจที่เราจะเห็นว่าน้ำใจในสังคมมันเริ่มหดหายลงไปทุกที อาจไม่ใช่ว่าคนเราใจร้าย แต่อาจเป็นเพราะว่า...
เราใส่ใจคนอื่นน้อยลง
เรามัวสาละวนกับความต้องการของตนเอง
เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น
แต่เราช่วยเหลือกันน้อยลง
เรามีการสื่อสารที่ดีขึ้น
แต่เราคุยกันน้อยลง

สังคมเรามันคงจะน่าอยู่มากขึ้น หากเราหันมาใส่ใจซึ่งกันและกัน ลองมองดูรอบๆตัวเราสักหน่อย อาจจะมีใครสักคนที่ต้องความช่วยเหลือจากเรา

"Strangers are just family you have yet to come to know" Mitch Albom

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Life is a journey



ตั้งแต่เราถือกำเนิด และลืมตามองดูโลกใบนี้             เราเห็นสิ่งต่างๆมากมาย
เห็นสิ่งที่สวยงาม  เห็นสิ่งที่ไม่สวยงาม
เห็นความทุกข์  เห็นความสุข
เห็นรอยยิ้ม  เห็นรอยน้ำตา

ถนนแต่ละสาย ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป 
บางสายก็ขรุขระ และเต็มไปด้วยหิน ดิน ทราย
แต่มันไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเดินทาง

เราไม่อาจรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นภายภาคหน้า
ตราบใดที่ยังมีแสงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ
เราก็ยังคงเดินทางต่อไปในชีวิตนี้

อาจไม่จำเป็นที่เราจะต้องรู้ว่าข้างเหน้าจะเจออะไร
เพราะสิ่งที่เรารู้อยู่เสมอ ก็คือ
ในการเส้นทางแห่งชีวิตนี้ เราไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง

ชีวิตคือการเดินทาง 
มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายระหว่างทางที่เราเดิน 
บางเหตุการณ์น่าจดจำ บางเหตุการณ์เกินการควบคุม 
แต่ในการเดินทางของคนแต่ละคน เราได้เรียนรู้สิ่งที่มีค่ามากที่สุด 
สิ่งนั้นเรียกว่า...ประสบการณ์ 


"Throughout your life,
there will be many little endings everyday.
It is these endings that somehow give shape 
to the fragments of your life,
that are called experience.
And it is the 'experience' that makes up one's life"   
                                     James V. Cunningham.